ชี้ตำหนิ และประวัติการสร้าง หลวงพ่อเงิน15 วัดท้ายน้ํา

ชี้ตำหนิ และประวัติการสร้าง หลวงพ่อเงิน15 วัดท้ายน้ำ


ทำพิธีปลุกเสกใหญ่ทั้งหมด 3 ครั้ง นิมนต์พระสงฆ์127 รูป เป็นพระฝากพิธีร่วมปลุกเสกที่วัดบางคลาน

 
หลวงพ่อเงิน ปี 15 ออกวัดท้ายน้ำมีด้วยกัน 4 พิมพ์  2 เนื้อ คือ เนื้อทองเหลืองชุบนิเกิล และเนื้อทองเหลือง สำหรับ 4 พิมพ์นั้นได้แก่

 1. พระรูปเเหมือนปั๊มหลวงพ่อเงิน ปี 15 วัดท้ายน้ำ พิมพ์หน้ายักษ์ ก้นอุ ฐานเตี้ย อ้วนล่ำ (ใต้ฐานมีวงเดือนและตอกโค้ดอุ) มีทั้ง 2 เนื้อ

 2. พระรูปเหมือนปั๊มหลวงพ่อเงิน ปี 15 วัดท้ายน้ำ พิมพ์หน้าแก่ ฐานสูง มี 2 พิมพ์  คือ พิมพ์ ว ไม่มีขีด และ ว มีขีด สร้างเนื้อทองเหลืองอย่างเดียว สำหรับ พิมพ์ ว ไม่มีขีด มักจะมีการตะไบตัวหนังสือด้านหลังซึ่งเป็นคำว่า วัดท้ายน้ำ ออก แต่ที่ไม่ตะไบก็มีบ้าง

 3. พระรูปเหมือนปั๊มหลวงพ่อเงิน ปี 15 วัดท้ายน้ำ พิมพ์หน้าหนุ่ม ฐานสูง มีทั้ง 2 เนื้อ

 4. พระรูปเหมือนปั๊มหลวงพ่อเงิน ปี 15 วัดท้ายน้ำ พิมพ์หน้าหนุ่ม ฐานเตี้ย (ขอบฐานด้านหลังตอกโค้ดคำว่า วัดท้ายน้ำ) มีเนื้อทองเหลืองอย่างเดียว

ตำหนิ และวิธีดู หลวงพ่อเงิน15 วัดวังจิก



รูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน บางคลาน ออกวัดวังจิก ปี 15 เป็นพระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน บรรจุกริ่ง ที่สร้างโดยวัดวังจิก อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
ลักษณะ พระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน ออกวัดวังจิก ปี 15 มีลักษณะคล้ายกับพระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ปี 15 ทุกอย่างยกเว้นใบหน้าของท่านจะแตกต่างกันนิดหน่อย
วัตถุประสงค์การจัดสร้างคือ สืบเนื่องมาจากในขณะนั้นวัดวังจิกกำลังดำเนินการจัดหาทุนทรัพย์ในการซ่อมแซมและปรับปรุงศาสนสถานต่างๆของวัดที่ได้เสื่อมโทรมลงพอดี ซึ่งวัดวังจิกนั้นเป็นวัดที่ค่อนข้างมีทุนทรัพย์น้อย การจัดพิธีปลุกเสกในแต่ละครั้งนั้นค่อนข้างจะเป็นการยาก เพราะต้องใช้ทุนทรัพย์ในการดำเนินการสูง การฝากพระร่วมพิธีปลุกเสกกับทางวัดบางคลานจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เนื่องจากพิธีการปลุกเสกของวัดบางคลานถือได้ว่าเป็นพิธีที่ดีและยิ่งใหญ่ อีกทั้งวัดบางคลานยังเป็นวัดของหลวงพ่อเงินโดยแท้ วัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสกในพระอุโบสถวัดบางคลานเปรียบเสมือนได้ว่าเป็นการขออนุญาตจากหลวงพ่อเงินโดยตรง และเป็นการการันตีอีกอย่างหนึ่งว่า วัตถุมงคลที่ผ่านการปลุกเสกจากวัดบางคลานแล้วย่อมมีความเข้มขลังและมีความศักสิทธิ์

การตอกโค้ด พระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน บางคลาน ออกวัดวังจิก ปี 15 จะตอกโค้ดตัวอักษร ว.จ. ไว้ที่ด้านหลังองค์พระบริเวณใต้คออย่างชัดเจน ..
พิธีปลุกเสกใหญ่ 4 ครั้ง
ชนวนโลหะและการปลุกเสก
มวลสารหลักๆที่นำมาจัดสร้างเป็นวัตถุมงคลรุ่นนี้ คือ แผ่นทองเหลืองแผ่นทองแดงที่พระคณาจารย์ดังทั่วประเทศรวมพลังอธิษฐานจิตลงอักขระเลขยันต์และปลุกเสกมาเป็นอย่างดี หลังจากนั้นจึงนำมาหล่อหลอมเป็นแผ่นโลหะแต่ละชนิด

ตำหนิ และการสร้าง หลวงพ่อเงิน15 วัด วัง กระทึง

ตำหนิ และการสร้าง หลวงพ่อเงิน15 วัด วัง กระทึง


รูปเหมือนปั๊มหลวงพ่อเงิน พิมพ์มืออ้า  ออกวัดวังกระทึง ปี 2515
สร้างโดยวัดวังกระทึง ตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร...มีลักษณะเหมือนกับพระรูปเหมือนปั๊ม หลวงพ่อเงิน ปี 15 ออกวัดบางคลาน แต่มีข้อแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ นิ้วหัวแม่มือ (นิ้วโป้ง)ทั้งสองข้างจะกระดกขึ้น (มือติงนัง) และจะมีเนื้อเกินตรงบริเวณด้านในนิ้วโป้งด้านขวามือทุกองค์...เนื่องจากหลวงพ่อเงิน วัดวังกระทึง เป็นรูปเหมือนปั๊มแบบปั๊มเครื่อง รายละเอียดจึงคมชัด...องค์นี้เป็นเนื้อทองเหลืองสวยคลาสสิคเนื้อเก่าเก็บ...ไม่มี 15 ของวัดบางคลาน...เก็บ 15 ของวัดวังกระทึง จะขึ้นคอ หรือออกต่อพุทธคุณเท่าเทียมกัน

เก็บมาฝาก จากจังหวัดพิจิตร หลวงพ่องเงิน วัดบางคลาน พิมพ์ ต่างๆ

เก็บมาฝาก จากจังหวัดพิจิตร หลวงพ่องเงิน วัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตา
พระรูปหล่อของ พระครูอุปัชฌาย์เงิน พุทธโชติ วัดหิรัญญาราม(วัดวังตะโก) ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร พิมพ์นิยมอันดับ 1 หรืออันดับต้นของประเทศไทยมีผู้ที่ต้องการครอบครองอยู่ทั่วประเทศ แต่เป็นที่เชื่อกันว่าต้องมีบุญญาธการเท่านั้นถึงจะได้ครอบคลองของแท้ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
หลวงพ่อเงิน แบ่งออกเป็นหลวยพิมพ์




1.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์นิยม 4 ชาย










2.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์นิยม มือรองนั่ง



3.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตา 5 ชาย









4.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตา 3 ชาย










4.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์ขี้ตา 4ชาย




1.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์นิยม 4 ชาย

                                              1.รูปหลวงหลวงพ่อเงิน พิมพ์นิยม 4 ชาย


1.    “ศีรษะ” ลักษณะคล้ายกับ “บาตรคว่ำ” อย่างพิมพ์อื่น ๆ เช่นกัน “ใบหู” หนาใหญ่เห็นชัดทั้งสองข้าง “ตา” ด้านขวาเป็นเม็ดกลมใหญ่ขณะที่ “ใต้หัวตาซ้าย” มีเนื้อเกินเป็นตุ่มคล้ายขี้ตาจึงเป็นที่มาของชื่อ “พิมพ์ขี้ตา”

2. “แก้ม” ด้านขวามีตำหนิซึ่งเป็นตำหนิในพิมพ์ทุกองค์ (ที่ควรจดจำให้แม่น) “จมูก” บานใหญ่โด่งนูน “ปาก” คล้าย “พระจันทร์เสี้ยว” และริมฝีปากล่างหนากว่าริมฝีปากบน

3. “เส้นสังฆาฏิ” โค้งนูนหนาและมี “รู” อยู่ด้านบนและด้านล่างอย่างละรูซึ่งเป็น “ตำหนิในพิมพ์” จึงต้องจดจำให้แม่นเช่นกัน

4. “ริ้วจีวรด้านขวา” จะมีความโค้งขนานกับท้องแขนขวามากกว่า “พิมพ์สี่ชายเล็ก” และริ้วจีวรเส้นล่างสุดจะยาวกว่า “พิมพ์สี่ชายเล็ก” (ที่มาของการเรียกบล็อกจีวรยาว) ส่วน “ริ้วจีวรซ้าย” ลักษณะเป็นเส้นพลิ้วคว่ำลง

5. “ฝ่ามือ” ทั้งสองข้างที่ประสานกันในท่านั่งสมาธิคอดตรงกลางเล็กน้อย ส่วน “ตักขวา” ที่ทับขาซ้ายมีเส้นชายจีวรสองเส้นในแนวเฉียงเล็ก ๆ และ “ตักซ้าย” มีเส้นชายจีวรสามเส้นในแนวเฉียงเช่นกัน

6. “ฐาน” ของพิมพ์ขี้ตาทุกพิมพ์จะหนากว่า “พิมพ์นิยม” และข้อที่พึงจดจำคือ “ด้านข้างองค์พระ” จะมีตะเข็บทุกองค์ และ “ใต้ฐาน” ก็จะไม่ปรากฏรอยก้านชนวน.

ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงิน

หลวงพ่อเงินวัดบางคลานเกจิอันดับต้นๆของประเทศที่มีผู้ศรัทธาอย่างล้นหลามไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน เป็นที่ประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ราคาและความมีมนต์เส่ห์ของพระเครื่ิองยังคงเข้มขลังไม่เปลี่ยนแปลง
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงินจากคำบอกเล่าของกำนันโชติ สนสกุล หลวงพ่อเงินเป็นหลวงพ่อที่มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์และพิสดารมากในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่หลายประการ แม้ท่านได้จากเราไปเป็นเวลานานแล้วความศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็ยังมิได้สูญหายจากเราไป จะขอเล่าให้ฟังตามที่ได้สดับตรับฟังมาจากท่านผู้ใหญ่ที่อายุมาก ๆ เพียงย่อ ๆ กล่าวคือ
๑. ถ่ายรูปหลวงพ่อเงินไม่ติดในระหว่างที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ผู้คนบ้านใกล้เมืองไกลไปมาหาสู่ท่านไม่ขาดระยะ คราวหนึ่งมีคนต่างชาติคือ “คนแขก”มาขอถ่ายรูปของท่านกระจกหน้ากล้องแตก ครั้งที่สองถ่ายอีกคือถ่ายตรง ๆ หน้าพอเอาไปล้างรูปดูแล้ว ปรากฏว่าไม่ติดหมดทั้งหน้า ติดหน้าเพียงแถบเดียว นี่คืออภินิหาร ของหลวงพ่อเงิน
๒. การหล่อรูปจำลองของหลวงพ่อเงินเมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ประชาชนเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อได้ตกลงกันจัดการหล่อรูปจำลองของท่านไว้ ในการเททองหล่อรูปเททองไม่ติด ทำอย่างไรก็ไม่ติด จึงนิมนต์ท่านมาทำพิธีเททองนั้น ขอร้องให้เทให้ติด หลวงพ่อบอกว่า “เอาแต่พอแม้นๆอย่าให้เหมือนเลย”แล้วช่างก็ทำการหล่อใหม่สำเร็จ ดังที่ปรากฏอยู่ที่วัดหิรัญญารามปัจจุบันนี้
๓. การทำปลอกช้างเมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่หลวงพ่อมีช้างหลายเชือก เพื่อสะดวกแก่ผู้เลี้ยงช้างจึงได้จัดการทำ “ปลอก”ช้างขึ้นใช้ ในระหว่างที่กำลังสูบเตาสูบเพื่อหลอมเหล็กนั้น เหล็กที่หลอมไม่ละลายเพราะหลวงพ่อนั่งดูอยู่ และแกล้งพูดว่าสูบไม่ดีเหล็กจึงไม่ละลายจนกระทั่งลูกศิษย์ของท่าน ต้องการจะให้หลวงพ่อขึ้นไปฉันอาหารบนกุฏิเสียจะได้ทำให้สำเร็จ และเมื่อหลวงพ่อจะลุกขึ้นไปฉันอาหารบนกุฏิท่านแกล้งเอาจีวรทิ้งใส่ลงไปในเตาสูบนั้น พวกลูกศิษย์ตะลึงและแกล้งสูบใหญ่เพื่อให้ไหม้ไฟ สูบอยู่นานจนควันเขียวแล้วก็แดง ครั้นเอาคีมคีบขึ้นมาจับดูปรากฏว่าจีวรไม่ไหม้ไฟแต่อย่างใด พวกลูกศิษย์ที่ช่วยกันทำปลอกช้างนั้น จึงแย่งฉีกชายจีวรนั้นมาผูกคอคนละชิ้นสองชิ้น เมื่อท่านฉันอาหารเสร็จแล้วจึงลงมาดูที่ที่ทำปลอกช้างนั้น แล้วพูดว่าใครเอาจีวรกูไปไหน พวกลูกศิษย์จึงชี้ไปที่คอซึ่งจีวรหลวงพ่อถูกฉีกเอาไปทำเครื่องรางของขลังเสียแล้ว ท่านก็ไม่ว่ากระไร นี่คืออภินิหารของหลวงพ่อเงิน ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน จีวรเผาไฟไม่ไหม้
๔. เชื้อพระวงศ์มาเยี่ยมวัดหลวงพ่อเมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ก็ได้มาขออาบนํ้ามนต์กับหลวงพ่อ สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช มาขอเรียนศิลปศาสตร์กับหลวงพ่อด้วย
๕. สิ่งที่ประทับใจที่ลูกหลานไม่รู้ลืมคือ เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างโรงเรียนประชาบาล ตำบลบางคลาน(เงินอนุสรณ์)ซึ่งปัจจุบันนี้ลูกหลานยังได้ศึกษาเล่าเรียนตราบเท่าทุกวันนี้ข่าวเล่าลือว่าหลวงพ่อบอกหวยแม่น ก็มีประชาชนไปขอกันมากมาย ภายหลังต่อมาหลวงพ่อเห็นว่าการบอกใบ้หวยเป็นการพนันหลวงพ่อจึงไม่ยอมบอกใครอีก

อภินิหารน่าอัศจรรย์หลังจากหลวงพ่อเงินได้มรณภาพไปแล้ว

๑. วันทำศพหลวงพ่อเงินคือเมื่อถึงวันจัดการเผาศพมีประชาชนมากมายเหลือที่จะคณานับ ยื้อแย่งกระดูก จีวร จากตัวท่านเอาไปทำเครื่องรางของขลัง และเอาไปสักการบูชาเพื่อป้องกันภัยต่าง ๆ นับว่าหลวงพ่อเงินมีประชาชนเคารพนับถือและเลื่อมใสในตัวท่านมาก
๒. วาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อเงินหลวงพ่อเงินมีวาจาสิทธิ์มากคนเกรงกลัวกันนักหนา คือ ท่านห้ามมิให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นในวัดของท่าน เช่นตีกัน ยิงกัน หรือฉกชิงวิ่งราวไม่ได้เป็นเด็ดขาดถ้าใครขืนทำสืบดูรู้ตัวต้องมีอัน__เป็นไปต่าง ๆ คือไฟไหม้บ้านบ้าง ตายโหงบ้าง เช่นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ทางวัดมีงานประจำปี มีคนมามากมายเกิดลักทรัพย์ขึ้นในวัด ในที่สุดจับผู้ร้ายได้และถูกฟ้องศาลติดตะราง ส่วนภรรยาของผู้ร้ายได้สาบาน ต่อหน้ารูปจำลองหลวงพ่อเงินว่าสามีของตนไม่ได้เป็นคนลักทรัพย์ ในที่สุดหลังจากเสร็จจากงานปิดทองไหว้พระแล้ว ภรรยาของคนร้ายก็ได้อาเจียนออกมาเป็นโลหิต จนถึงแก่ความตาย อภินิหารของหลวงพ่อเงิน ถ้าใครทำขึ้นในวัดย่อมมีอันเป็นไปให้เห็นดังนี้เสมอจึงมีผู้เกรงกลัวมาก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดหลวงพ่อเงิน
๑. ไม้ละมุดหลวงพ่อเงินละมุดต้นนี้เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ขึ้นอยู่หน้ากุฏิของท่านเป็นที่สำหรับอาบนํ้ามนต์ไม่กี่ปีมานี้ละมุดต้นนี้ตายและตายอยู่ ๓ เดือน ใบยังไม่ร่วง ครั้นต่อมามีคนต่างจังหวัดมาขอเอาไป ทางวัดก็ให้ไปบ้างและเก็บไว้บ้าง เล่ากันว่าที่คนเอาไปๆ ผูกคอโดยทำเป็นพระเครื่องบ้างเลี่ยมทองบ้าง เป็นเครื่องรางของขลังบ้าง เขาว่ายิงไม่เข้าบ้าง ไม่ดังบ้าง ยิงไม่ถูกบ้าง จนกระทั่งเลื่องลือกันไปทุก ๆ แห่งเดี๋ยวนี้ แม้แต่รากละมุดอยู่ในดินก็ขุดคุ้ยเอาไปทำเครื่องรางของขลังกันหมดแล้ว
๒. กล้วยร้อยหวีแม้แต่กล้วยซึ่งปลูกไว้ข้างศาลาการเปรียญของหลวงพ่อเงินก็แจกจ่ายกันคนละผลสองผลในที่สุด แม้แต่ต้น ใบ ราก ก็เอาไปทำเครื่องรางของขลังกันหมดเหมือนกับต้นละมุดนั่นแหละ
๓. สัปคับช้าง(อานช้าง) หลวงพ่อเงิน หลังจากหลวงพ่อเงินมรณภาพไปแล้วแม้แต่สัปคับช้าง ซึ่งหลวงพ่อเงินเคยขี่ช้างและนั่งสัปคับช้างนั้น ได้เก็บและทิ้งไว้หลังพระอุโบสถหลังเก่าก็มีผู้เอาไปเลี่ยมทองบ้าง เลี่ยมเงินบ้างเอาไปทำเครื่องรางของขลังบ้าง จนกระทั่งหมดไป
๔. ต้นโพธิ์หลวงพ่อเงินจากคำบอกเล่าของ “พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระครูพิบูลธรรมเวท”เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเงินที่ปรากฏแก่หลวงพ่อพระครูพิบูลธรรมเวทคือต้นโพธิ์หลวงพ่อเงินปลูกอยู่หน้าพระอุโบสถของท่าน ต้นโพธิ์ต้นนี้มีผู้สูงอายุที่เคยเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงินมาก่อนเล่าให้ฟังว่าเป็นต้นโพธิ์อธิษฐานเมื่อก่อนที่หลวงพ่อจะย้ายจากวัดคงคาราม(วัดบางคลานใต้) มาสร้างวัดขึ้นใหม่คือ วัดวังตะโก (วัดหิรัญญาราม ตำบลบางคลานปัจจุบันนี้) ท่านก็ได้นำกิ่งโพธิ์มาหนึ่งกิ่ง แล้วท่านก็มาอธิฐานว่าถ้าจะสร้างวัดตรงนี้แล้วจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปในภายภาคหน้าก็ขอให้ต้นโพธิ์เจริญงอกงาม
บทควมจาก http://www.xn--42cgaeg4ewcdwadtcbg7mc2c2eb8cd4rf1r.comom

สรุปในปี15 หลวงพ่อเงิน15 สร้างที่วัดใดบ้าง

สรุปในปี15 หลวงพ่อเงิน15 สร้างที่วัดใดบ้าง
หลวงพ่อเงินปี 15 ได้ทำออกมาหลายวัดมากแต่ที่ดังติดลมบนคือ วัดบางคลาน พิจิตร จนอาจมีผู้คนจำนวนมากสับสนถ้าเห็นพิมพ์ที่เหมือนวัดบางคลานและต็อกโค๊ต 14/15 เหมือนกันพรานจะตีเก๊เสียหมด ลองมาดูความเหมือนที่แตกต่างกันครับ





หลวงพ่องเิงิน15 วัดบางคลาน  จังหวัดพิจิตร











หลวงพ่อเงิน15 วัดท้ายน้ำ   จังหวัดพิจิตร
















หลวงพ่อเงิน15 วัดท่าบัวทอง   จังหวัดพิจิตร

















หลวงพ่อเงิน15 วัดมูลเหล็ก    จังหวัดพิจิตร
















หลวงพ่อเงิน 15 วัดหอไกร  จังหวัดพิจิตร













หลวงพ่อเงิน 15 วัดวังกระทึง










หลวงพ่อเงิน 15 วัดวังจิก

อภินิหาร และความศักสิทธิ์ ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน


อภินิหาร และความศักสิทธิ์ ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน

 ต่ิอจาตอนที่แล้วถึงอภินิหารและบุญบารมีของหวงพ่อเงิน ท่านต้องศรัทธาและเชื่ออย่างสุดใจจึงจะเปล่งอนุภาพของพระเครื่องออกมาได้ อย่าได้คิดลองของเด็ดขาด ต้องมีศรัทธาครับเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ทำแต่กรรมดี" คุณถิ่นดาวเวียง " ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 6 ถนนราชอุทิศอำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลของ " หลวงเงินพ่อ " ที่สร้างในรูป " รูปหล่อลอยองค์ " ซึ่งพระองค์นี้ " พิมพ์นิยมเศียรโต " โดยแบบเป็นเรื่องราวของ " คุณถิ่นดาวเวียง " เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 ขณะขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อเวสป้ากลับจากไปเก็บเงินค่าไอศกรีมที่โรงงานของ เขาเป็นผู้ผลิตจำหน่ายที่อำเภอบ้านสวนขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์ไปเก็บเงินเฉกเช่นที่ปฏิบัติตามปกติทุกวันบนถนนสาย หนึ่งที่เส้นทางค่อนข้างเปลี่ยวปรากฏมีชาย 2 คน ถือปืนลูกซองยาวขวางทางไว้พร้อมใช้ปืนโบกให้หยุดในลักษณะ " ประสงค์ร้าย " เพราะมันเตรียมการปล้นนั่นเองซึ่งพอเห็นเช่น " คุณถิ่นดาวเวียง " นั้น ก็ทราบทันทีว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองจึงชะลอรถแล้วค่อย ๆ ขี่เข้าไปหา แต่พอเข้าไปใกล้ในระยะประมาณ 6 เมตร ก็ตัดสินใจเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์ " พุ่งเข้าชน " ชายที่ถือปืนทันทีแต่เจ้าหมอนั่นสามารถกระโดดหลบทัน " คุณถิ่นดาวเวียง " จึงซิ่งรถเวสป้าหนีเพราะขณะนั้นเขามีเงินที่เก็บได้มากพอสมควร โดยใส่ไว้ในถุงแป้งมัน แต่เมื่ออยู่ ๆ มีคนจะมาทำการปล้นเอาง่าย ๆ จึงไม่ยอมกันละเพราะเมื่อใจไม่กลัวเสียอย่างตายเป็นตายไม่ยอมให้จี้จึง ตัดสินใจพุ่งชนแล้วรีบหนีไป เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นเจ้าคนถือ " ปืนยาว " จึงเล็งปืนไล่หลังแล้วยิงทันทีแต่ปรากฏว่า " กระสุนด้าน " ส่วนอีกคนมีปืนหรือเปล่าไม่ทราบเพราะขณะซิ่งรถหนีเขาหมอบลงต่ำพร้อมกับเร่ง เครื่องรถเพื่อหนีเต็มที่เนื่องจากมีความเชื่อมั่นใน " หลวงพ่อเงิน " ที่เขาพกพาติดตัวเป็นประจำมากจึงตัดสินใจไม่ยอมให้โจรปล้นเอาง่าย ๆ และผลก็คือเขาสามารถรอดพ้นจากอันตรายได้เพราะแม้จะถูกยิงแต่กระสุนก็ด้านยิง ไม่ออกเลย


ประสบการณ์ครั้งที่ 2 ของ " คุณถิ่นดาวเวียง " มีเกิดขึ้นอีกเมื่อปี พ.ศ. 2532 โดยปีนั้นที่จังหวัดสุโขทัยมี " เผาเทียนเล่นไฟ " งาน เขาได้ขี่เวสป้าคู่ชีพพาภรรยาซ้อนท้ายไปชมงานในช่วงกลางคืน ระหว่างกำลังขี่เวสป้าไปตามถนนด้วยความเร็วพอประมาณ อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นเพราะเมื่อเขาหักหลบรถคันอื่น ประจวบกับถนนลื่นจึงทำให้รถเวสป้าพลิกคว่ำลงข้างถนน ขณะนั้นสิบล้อตามมาข้างหลังติด ๆ แต่หักหลบรถเวสป้าของเขาที่กำลังคว่ำได้ทันท่วงที โดยตัวเขาและภรรยาตกลงไปข้างถนนผลคือ " รถเวสป้าพัง " แต่น่าแปลกใจมากเมื่อตัวเขาและภรรยาไม่มีบาดแผลใด ๆ เลยทั้งสองคนเนื่องจากขณะนั้นเขาแขวน " รูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน " เพียงองค์เดียวเท่านั้น

เป็นชาวบ้านบางคลานอำเภอบางคลานจังหวัดพิจิตรเป็นบุตรคนที่ 4 ของนายอู๋ " หลวงพ่อเงินพุทธโชติ " - นางฟักเกิดเมื่อวันศุกร์เดือน 10 ปีฉลู พ.ศ. 2351 มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 6 คนด้วยกันขณะ " หลวงพ่อเงิน " อายุได้ 3 ขวบ " ตาช้าง " ซึ่งเป็นลุงของหลวงพ่อได้นำ " หลวงพ่อ " ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯต่อมาเป็นวันเดือนปีใดไม่ทราบ " หลวง พ่อเงิน " จึงทำการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดตองปุ ( ปัจจุบันคือวัดชนะสงคราม ) ขณะอายุได้ 12 ขวบ แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นอุปัชฌาย์พออายุได้ 20 ปี บิดา-มารดาและบรรดาญาติมีความประสงค์จะให้อุปสมบทแต่ " หลวงพ่อเงิน " ไม่ยอมเพราะเกรงว่าอายุของท่านจะไม่ครบบริบูรณ์จริง บรรดาญาติก็อนุโลมตามกระทั่งหลวงพ่ออายุได้ 22 ปีตรงกับ พ.ศ. 2373 ได้กำหนดวันอุปสมบทไม่ทราบว่าอุปัชฌาย์ชื่ออะไรเช่นกันได้ฉายาว่า " พุทธโชติ " หลังจากอุปสมบทแล้วได้ศึกษาเล่าเรียน ธรรมะจนแตกฉาน แล้วทำการฝึกฝนวิปัสสนาจนมีญาณสมาธิแก่กล้า จึงมุ่งศึกษาพุทธาคมจาก " หลวงพ่อโพธิ์วัดวังหมาเน่า " จนมีความชำนาญทางพุทธาคมมาก มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เล่าลือกันในบรรดาชาวบ้านมากมาย

ความศักดิ์สิทธิ์ " หลวงพ่อเงินพุทธโชติ " ของ เป็นที่เลื่องลือมากเป็นผลให้ผู้คนต่างต้องการ " เครื่องรางของขลัง " จากท่านเป็นจำนวนมากเพราะท่านเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปทั้งใกล้ และไกล รวมทั้งชาวจีนก็นับถือเช่นกันและวันหนึ่งมีชาวจีนผู้หนึ่งได้ไปกราบหลวงพ่อ เพื่อขอน้ำมนต์ไปอาบที่บ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ทั้งจะทำให้การประกอบอาชีพร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงตักน้ำใส่ถังไปหาหลวงพ่อพร้อมบอกความประสงค์แก่หลวงพ่อแล้วหลวงพ่อก็จุด เทียนไว้แล้วนั่งคุยกับชาวจีนผู้นั้น นัยว่าชาวจีนผู้นี้คุยถูกคอท่านมากจึงคุยกันเป็นเวลานาน ชาวจีนผู้นั้นเห็นว่านานมากแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อไหร่หลวงพ่อจะทำน้ำมนต์สักที” หลวงพ่อก็ตอบว่า " ทำเสร็จแล้ว " ชาวจีนผู้นั้นก็เถียงว่าไม่เห็นหลวงพ่อลงมือทำเลยเพราะเอาแต่คุยกันหลวงพ่อ ก็ยืนยันว่า " ทำเสร็จแล้ว " อยู่เช่นเดิมเป็นผลให้ชาวจีนผู้นั้นชักไม่พอใจรีบลุกขึ้น " เทน้ำออกจากถัง " ที่อุตส่าห์หิ้วมาเพื่อทำน้ำมนต์แต่หลวงพ่อไม่ทำให้สักที แต่ปรากฏว่าแม้จะเทน้ำในถังเช่นไรน้ำก็ไม่ออกจากถังเลย ชาวจีนเห็นเช่นนั้นรีบก้มลงกราบขอขมาหลวงพ่อ ที่เอาแต่ยิ้มอย่างให้อภัยซึ่งเรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือมากในหมู่ศิษย์

มีศิษย์วัดของหลวงพ่อคนหนึ่งชื่อ " ตานาค " เป็นผู้ที่ชอบนอนตื่นสายเสมอและหน้าที่ของ " ตานาค " ก็คือหาบสำรับของหลวงพ่อเวลาออกบิณฑบาต วันหนึ่งตานาคตื่นสายผิดปกติ หลวงพ่อจึงใช้กระสุนหนังสติ๊กยิงไปยังทิศตรงกันข้ามกับตานาค แต่ปรากฏว่ากระสุนนั้นไปถูกตานาคที่นอนอยู่ในกุฏิจนต้องร้องออกมา นอกจากนี้อภินิหาร " ตะกรุด " ของ " หลวงพ่อเงิน " ก็มีผู้ประสบมาแล้วโดยครั้ง " หลวงพ่อเงิน " สัพยอกกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสหนึ่ง " วัดท้ายน้ำ " ในสมัยนั้น " หลวงพ่อเขียว " คือ ว่าปีนี้หรือพรรษานี้ลองตะกรุดกันดูทีว่าใครจะดีกว่ากัน เมื่อถึงกำหนดเข้าพรรษา " หลวงพ่อเขียว " ได้ตั้งใจจะทำตะกรุดครบไตรมาสนี้ 3 เดือนพร้อมทำการปลุกเสกอย่างดีพอถึงฤดูออกพรรษา " หลวงพ่อเขียว " ใช้ลูกศิษย์ไปนำเอาปืนมาทดลองยิงเพื่อพิสูจน์ว่าระหว่าง " หลวงพ่อเขียว " กับ " หลวงพ่อเงิน " วิชาของใครจะขลังกว่าโดยทดลองตะกรุดของ " หลวงพ่อเขียว " ก่อนปรากฏว่ายิงไม่ออกถึง 3 ครั้งจากนั้นจึงทำการทดลอง " หลวงเงินพ่อ " บ้างโดยท่านเรียกเด็กวัดให้ไป " ฝาบาตรทองเหลือง " ของเอา มาม้วนเป็นตะกรุดแล้วนำไปวางไว้พร้อมกับใช้ปืนยิงปรากฏว่าเสียงปืนดังสนั่น แต่ " ลูกปืน " กลับไม่ออกจากกระบอกปืนเลย " หลวงพ่อเงิน " จึงเอ่ยสัพยอกกับหลวงพ่อเขียวว่า " สู้ของข้าไม่ได้ของแกไม่ดัง อาจจะเป็นดินชื้นหรือแก๊ปเปียกน้ำก็ได้” แล้วท่านก็หัวเราะชอบใจนี่ก็เป็นการแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของ " หลวงพ่อเงิน " โดยแท้

" หลวงพ่อเงิน " มรณภาพด้วยโรคชราขณะอายุประมาณ 111 ปีเมื่อวันศุกร์แรม 11 ค่ำเดือน 10 ปีมะแมเวลา 05.00 น ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2462 ณ วัดวังตะโกตำบลบางคลานอำเภอบางคลานจังหวัดพิจิตร คงทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันเป็นปาฏิหาริย์มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นที่กล่าวขวัญกันสืบต่อมานานหลายสิบปีจนถึงปัจจุบันนี้.

บทความดีจาก
http://group.wunjun.com/chokajub/topic/109763-2444


ชี้ตำหนิหลวงพ่อเงิน15 มือเลขแปด

ชี้ตำหนิหลวงพ่อเงิน15 มือเลขแปด


1.ดูที่หัวแม่มือซ้าย มีเส้นพิมพ์แตกต่อจากปลายนิ้วมือซ้ายเข้าไปในง้ามนิ้วมือขวา
2.ดูปลายนิ้วชี้ซ้าย ไม่มีตุ่ม 
4.ให้ดูใบหูซ้าย ด้านขวามือเรา จะเป็นเส้นกากบากในช่องหูซ้าย
5.ให้ดูใต้คางบริเวณขากรรไกรด้านขวามือเรา  ถ้ามีเส้นเกิน 2 เส้น ลักษณะคล้ายฟันหนู

ชี้ตำหนิ หลวงพ่อเงิน15 คอแอล นิยม

ชี้ตำหนิ หลวงพ่อเงิน15 คอแอล นิยม

หลวงพ่อเงิน15จะมีฐานกว้างประมาณ 1.6-1.7 ซ.ม. ความสูงจากฐานถึงยอดพระเศียรประมาณ 2.4-2.5 ซ.ม. ส่วนทองเหลืองกลมที่อุดก้นฐาน จะเรียบเสมอกับฐาน และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4.4-4.5 ซ.ม.

ตำหนิหลวงพ่อเงิน15 คอแอล นิยม

1.มีจุดเนื้อเกินข้างใบหูล้างขวา
2.มีเส้นเล็กๆ วิ่งที่คอแอล
3.มีเส้นแตกเป็น 2 เส้นแฉก  ที่โหนกแก้มซ้าย
4.มีเส้นกากบากในช่องหูซ้าย
5.ปลายเส้นริ้วจีวรล่างขวา แตกเป็นสองแฉก
6.มีเส้นเล็กขวางในช่องแขนซ้าย และมีเส้นขวางในช่องแขนซ้าย
                7.ด้านหลังใบหูเนื้อเกินเหลี่ยม คมชัด
                8.ตัวสระอี เหมือนลูกศร ชี้ลง

รวมรูปหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์นิยม และหลวงพ่อเงิน15 ทุกพิมพ์

หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์นิยม
หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตา3ชาย
หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์ขี้ตา 4 ชาย
หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์ ขี้ตา 5 ชาย
รวมรูปหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์นิยม และปี 15 
หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน พิมพ์ มืงนั่งรอง
หลวงพ่อเงิน15 ออกวัดวังจิก นิยม
หลวงพ่อเงิน15 พิมพ์ มือเลขแปด

หลวงพ่อเงิน15 ออกวัดท้ายน้ำนิยม

หลวงพ่อเงิน15 ออกวัดวังตะไกร
หลวงพ่อเงิน15 ออกวัดมูกเหล็ก
หลวงพ่อเงิน15 ออกวังกระทึง










ประวัติ ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

ประวัติ ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

            หลวงพ่อเงินชื่อเดิมของท่านชื่อ “เงิน”ในสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๓ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาของหลวงพ่อเงินชื่อ “อู๋”ซึ่งเป็นชาวบ้านบางคลาน มารดาชื่อ “ฟัก”เป็นชาวบ้านแสนตอ อำเภอแสนตอ(ปัจจุบันเป็นอำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี) จังหวัดกำแพงเพชร หลวงพ่อเงิน มีพี่น้องร่วมสาย

โลหิตทั้งหมด ๖ คน ดังนี้
คนที่ ๑ ชื่อ พรม(ชาย)
คนที่ ๒ ชื่อ ทับ(หญิง)
คนที่ ๓ ชื่อ ทอง(ขุนภุมรา) (ชาย)
คนที่ ๔ ชื่อ เงิน(หลวงพ่อเงิน)
คนที่ ๕ ชื่อ หลํ่า(ชาย)
คนที่ ๖ ชื่อ รอด(หญิง)
ในปี พ.ศ. ๒๓๕๖ ขณะนั้นหลวงพ่อเงินอายุได้ ๓ ขวบ นายช่วงซึ่งเป็นลุงของท่านได้พาหลวงพ่อเงิน ไปอยู่กรุงเทพฯด้วยนายช่วงได้อุปการะเลี้ยงดูหลวงพ่อเงินจนกระทั่งเติบโตมีอายุจะเข้าศึกษาเล่าเรียนได้จึงได้นำหลวงพ่อไปฝากไว้ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร หลังจากนั้นท่านก็ได้เรียนหนังสือที่วัดชนะสงคราม ตลอดมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๔๖๕ ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรขณะนั้นอายุได้ ๑๒ ปี หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ศึกษาธรรมวินัยและเวทมนต์คาถาอาคมต่าง ๆ จนถึงขั้นแตกฉาน พออายุใกล้จะอุปสมบทได้ท่านก็สึกจากสามเณรเป็นฆราวาส


หลังจากที่ท่านได้สึกจากสามเณรแล้ว ก็มาอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ ต่อมาท่านได้มีคู่รักคนหนึ่ง ชื่อ “เงิน”เหมือนกันกับท่าน สมัยก่อนนั้นหนุ่มสาวรักกันจะหาโอกาสพบกันได้ยากมากจะได้พบกันก็เนื่องจาก วันพระไปทำบุญตักบาตรเท่านั้น และวันหนึ่งจะด้วยเหตุดลใจอะไรไม่มีใครรู้ได้ ท่านได้คุยกับพี่สะใภ้ถึงเรื่องการแต่งงาน พี่สะใภ้ก็พูดล้อเล่นว่าอย่าแต่งงานเลยบวชดีกว่า เมื่อได้ยินพี่สะใภ้พูดอย่างนั้น ท่านจึงขอโทษพี่สะใภ้ ขอจับ “นม” พี่สะใภ้ก็ให้จับแต่โดยดี เมื่อหลวงพ่อเงินจับนมพี่สะใภ้แล้ว ก็เอามือมาบีบน่องของตนเองแล้วก็อุทานว่า “นม” กับ “น่อง”ก็เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้หลวงพ่อเงินตัดสินใจบวชไม่สึกเลยจนกระทั่งมรณภาพเมื่ออายุครบปีบวชท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดตองปุ(วัดชนะสงคราม) และได้จำพรรษาอยู่ณ วัดนี้ ในระหว่างอุปสมบทได้ปฏิบัติธรรมวินัยและรํ่าเรียนทางวิปัสสนาอยู่ได้ ๓ พรรษาหลังจาก ท่านอุปสมบทคู่รักท่านได้ปักตาลปัตรมาถวายท่าน ๑ อันต่อมาปู่ของท่านป่วยหนัก ทางบ้านจึงให้พี่ชายชื่อทองไปนิมนต์หลวงพ่อเงินให้มาจำพรรษาที่วัดคงคาราม(วัดบางคลานใต้) หลวงพ่ออยู่วัดนี้ได้ ๑ พรรษา
เนื่องจากวัดนี้ มีหลวงพ่ออุปัชฌาย์โห้เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระที่เรืองวิชาเหมือนกันชอบเล่นแร่แปรธาตุ นอกจากนี้หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านยังชอบเทศน์ชาดก(แหล่เป็นทำนอง) การซ้อมแหล่ของหลวงพ่ออุปัชฌาย์โห้เสียงดัง หลวงพ่อเงินคงจะไม่พอใจ เพราะท่านเป็นพระที่เคร่งทางธรรมวินัย และวิปัสสนา ชอบแต่ความสงบเพื่อผลทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านจึงได้ย้ายวัดจากวัดคงคารามไปอยู่ที่หมู่บ้าน วังตะโก ลึกเข้าไปทางลำนํ้าน่านเก่าห่างจากวัดคงคารามคนละฝั่งแม่นํ้ายม
วัดวังตะโกเมื่อออกจากวัดคงคารามแล้ว หลวงพ่อก็มาปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงแฝก อยู่ที่หมู่บ้าน วังตะโก หลวงพ่อเคยพูดว่า “ชาติเสือไม่ต้องขอเนื้อใครกิน”ก่อนที่หลวงพ่อจะออกจากวัดคงคารามได้นำกิ่งโพธิ์จากวัดมาด้วย๑ กิ่ง มาปักไว้ที่หน้าตลิ่ง(ตรงกับที่หน้าพระอุโบสถ) พร้อมกันนั้นหลวงพ่อได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าจะเจริญรุ่งเรืองขอให้ต้นโพธิ์นี้เจริญงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ กาลต่อมาปรากฏว่าต้นโพธิ์ของท่านได้เจริญงอกงาม สมดังคำอธิษฐานนับตั้งแต่นั้นตลอดมาวัดวังตะโกหรือวัดหิรัญญารามก็เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ มีการสร้างกุฏิด้วยไม้สักหลังคามุงด้วยกระเบื้อง หลายหลัง มีศาลาวิหารและพระอุโบสถชื่อเสียงของหลวงพ่อได้ขจรไปทั่วทุกทิศานุทิศ มีประชาชนเคารพนับถือท่านมาก มีคนมาหาท่านมิได้ขาดเพื่อถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เพื่อขอเครื่องรางของขลัง เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เพื่ออาบนํ้ามนต์ มีเรื่องเล่าว่านํ้ามนต์ของท่านที่ประชาชนอาบไหลลงสู่แม่นํ้าไม่ขาดสายต่อมาหลวงพ่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับสมณศักดิ์ให้เป็นท่านเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนาจารย์
ลักษณะเด่นประจำตัวของหลวงพ่อตามปกติหลวงพ่อจะออกมานั่งรับแขกที่หน้ากุฏิมิได้เบื่อหน่าย การนั่งที่ท่านชอบมากที่สุดคือ นั่งขัดสมาธิ เข่าด้านซ้ายจะยกขึ้นนิดหน่อย ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยกับแขกมักจะถือบุหรี่ตลอดเวลา แต่ถ้านั่งทำนํ้ามนต์ หลวงพ่อจะเอาบุหรี่คีบไว้ที่ง่ามเท้าขวาตลอดเวลา ถ้าบุหรี่ดับก็หยิบขึ้นมาจุดสูบใหม่ นี่คือลักษณะพิเศษของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน